เมื่อทางเรารับทำเว็บไซต์ หรือลูกค้าทำเว็บเอง สิ่งที่สำคัญมากคือการเลือกฟอนต์ที่เหมาะสม ต้องดูแบรนด์ของเราเป็นแบบไหน และคิดถึงความสะดวกในการอ่านบนหน้าจอด้วย
ฟอนต์ไทยยอดนิยมที่แนะนำ:
- Sarabun – ใช้เป็นฟอนต์เนื้อหาได้ดีมาก
- Kanit หรือ Prompt – เหมาะกับหัวข้อและปุ่ม
- Noto Sans Thai – ตัวเลือกดีถ้าต้องการความเป็นสากลและรองรับหลายภาษา
ถ้าจะเลือกจาก Google Fonts ให้เพิ่ม <link>
แล้วตั้ง font-family: 'Kanit', 'Sarabun', sans-serif;
พร้อมกำหนด fallback ไว้ด้วย
เลือกอ่านจาก [ สารบัญ ]
- ฟอนต์ไทยที่เห็นใช้กันบ่อยๆ ในปัจจุบัน
- สิ่งที่ควรพิจารณาตอนเลือกฟอนต์
- วิธีเพิ่มฟอนต์ CSS ในเว็บไซต์
- ขั้นตอนการใช้งาน Google Fonts
- วิธีเขียนโค้ด CSS เพื่อนำฟอนต์มาใช้
- ผลกระทบของฟอนต์ต่อประสบการณ์ผู้ใช้
- ความสำคัญของการอ่านง่ายในเว็บดีไซน์
- ฟอนต์กับภาพลักษณ์และแบรนด์
- เทคนิคการใช้งานฟอนต์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม
- การปรับแต่งฟอนต์ให้เข้ากับเนื้อหา
- การใช้ฟอนต์เพื่อสร้างธีมและสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์
- แนวโน้มฟอนต์ในอนาคตและการปรับตัว
- ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงในการเลือกฟอนต์
- แหล่งฟอนต์ที่เชื่อถือได้
- FAQ
ฟอนต์ไทยที่เห็นใช้กันบ่อยๆ ในปัจจุบัน
ตัวอย่างฟอนต์ยอดนิยมที่เราเจอบ่อย ๆ ตอนรับทำเว็บไซต์ ได้แก่ Sarabun, Kanit, Prompt, Mitr และ Noto Sans Thai
- Sarabun – เอาไปใช้ในเอกสารราชการและบล็อกเยอะมาก
- Kanit/Prompt – นิยมในดีไซน์สมัยใหม่
ฟอนต์เหล่านี้ดาวน์โหลดฟรีจาก Google Fonts ได้ และมีน้ำหนักตั้งแต่ 300–800 ซึ่งควรเลือกเฉพาะน้ำหนักที่จำเป็นเพื่อลดขนาดโหลด
สิ่งที่ควรพิจารณาตอนเลือกฟอนต์
เวลารับทำเว็บไซต์ ต้องคิดเรื่องเหล่านี้:
- ความชัดเจนในการอ่าน – ขนาด size/line-height ที่เหมาะสม
- น้ำหนักที่มีให้ – มีตั้งแต่ 100–900 ไหม
- ขนาดไฟล์ – ผลต่อความเร็วในการโหลด
- ใบอนุญาต – ใช้งานได้ไหม
- การรองรับตัวอักษรพิเศษ ของภาษาไทย
ควรตั้ง fallback เป็นระบบฟอนต์และจำกัดจำนวนน้ำหนักเพื่อประหยัดแบนด์วิดท์
ตัวอย่างจริง: หากเว็บไซต์เป็นบล็อก ให้ตั้ง Sarabun 16px กับ line-height 1.6 เป็น body, ใช้ Kanit 700 สำหรับ h1-h3, โหลดเฉพาะ 400 และ 700 จาก Google Fonts พร้อมเพิ่ม font-display: swap;
หรือ preload สำหรับไฟล์ฟอนต์ที่สำคัญ
วิธีเพิ่มฟอนต์ CSS ในเว็บไซต์
วิธีเพิ่มฟอนต์ทำแบบนี้:
- เลือกฟอนต์ที่รองรับภาษาไทย (เช่น Sarabun, Noto Sans Thai)
- จำกัดน้ำหนักเหลือ 1–2 แบบเพื่อลดขนาดไฟล์
- เพิ่ม
<link rel="preconnect">
ก่อนโหลด Google Fonts เพื่อเร่งเวลาโหลด - ใช้ fallback stack เช่น
'Sarabun', 'Noto Sans Thai', sans-serif
- ตั้ง
font-display: swap
เพื่อประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีกว่า
ขั้นตอนการใช้งาน Google Fonts
- ไปที่ fonts.google.com
- ค้นหา “Sarabun” หรือ “Noto Sans Thai”
- เลือก subset เป็น “Thai” และน้ำหนักที่ต้องการ (แนะนำ 400 กับ 700)
- กด Embed แล้วคัดลอกโค้ด
<link>
หรือ@import
- ใส่ในส่วน
<head>
ของเว็บ - ก่อนโหลดควรเพิ่ม preconnect ถึง fonts.googleapis.com และ fonts.gstatic.com เพื่อลด LCP
วิธีเขียนโค้ด CSS เพื่อนำฟอนต์มาใช้
ตัวอย่างใส่ใน <head>
:
<link rel="preconnect" href="https://fonts.googleapis.com">
<link rel="preconnect" href="https://fonts.gstatic.com" crossorigin>
<link href="https://fonts.googleapis.com/css2?family=Sarabun:wght@400;700&display=swap" rel="stylesheet">
จากนั้นใน CSS:
css
body {
font-family: 'Sarabun', 'Noto Sans Thai', sans-serif;
}
หาก self-hosting ให้ใช้ @font-face
ชี้ไปยังไฟล์ .woff2 และกำหนด font-display: swap
เพิ่มเติม: ถ้าต้องการประสิทธิภาพสูงสุด ให้ใช้ไฟล์ .woff2 หรือ variable font หนึ่งไฟล์แทนหลายไฟล์ ลดจำนวนคำขอ HTTP ได้ประมาณครึ่งหนึ่ง
ผลกระทบของฟอนต์ต่อประสบการณ์ผู้ใช้
ฟอนต์มีผลกับอัตราการอ่าน เวลาอยู่บนหน้า และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ฟอนต์ไทยยอดนิยมบน Google Fonts เช่น Sarabun, Kanit, Prompt และ Noto Sans Thai ให้ความคมชัดบนหน้าจอมือถือ
เมื่อใช้ font-display:swap
และโหลดเฉพาะน้ำหนักที่จำเป็น (เช่น 300/400/600) จะลดเวลาโหลดและ Cumulative Layout Shift ทำให้ผู้ใช้ไม่หนีไปก่อนเห็นเนื้อหา
ความสำคัญของการอ่านง่ายในเว็บดีไซน์
หลักการพื้นฐานเวลารับทำเว็บไซต์:
- ตั้งฐานขนาดตัวอักษรที่ 16px พร้อม line-height ประมาณ 1.5
- ใช้น้ำหนัก 400–600 สำหรับเนื้อหา
- ปรับ letter-spacing เล็กน้อย (เช่น 0.01em) สำหรับภาษาไทย
- ใช้ฟอนต์ Sans-serif เช่น Sarabun หรือ Noto Sans Thai เป็นตัวหลัก
- กำหนด contrast อย่างน้อย 4.5:1 เพื่อให้สอดคล้องกับการอ่านของผู้ใช้ทุกกลุ่ม
ฟอนต์กับภาพลักษณ์และแบรนด์
เลือกฟอนต์ตามบุคลิกแบรนด์:
- Kanit หรือ Prompt – ลุคทันสมัยและเทคโนโลยี
- TH Sarabun New – ความเป็นทางการ เหมาะกับหน่วยงานราชการ
- Noto Serif Thai – เหมาะกับสื่อสิ่งพิมพ์และบทความยาว
ฟอนต์เหล่านี้มีใน Google Fonts ทำให้เพิ่มด้วยลิงก์เดียว และกำหนดระบบไทโปกราฟีอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งเว็บไซต์
ทดสอบภาพลักษณ์ ด้วย A/B testing เปรียบเทียบ headline ด้วย Kanit กับ Sarabun วัด CTR, เวลาอยู่บนหน้า และอัตราแปลง
เทคนิคการใช้งานฟอนต์เพื่อสร้างการมีส่วนร่วม
เวลารับทำเว็บไซต์ ควรทำแบบนี้:
- จำกัดฟอนต์ไม่เกิน 2–3 แบบ
- ใช้ Google Fonts เช่น Sarabun, Kanit, Prompt หรือ Mitr เพื่อความคมชัด
- ใช้
font-display: swap
กับ preload เพื่อความเร็ว - โหลดเฉพาะน้ำหนักที่จำเป็น (เช่น 400,700)
- พิจารณา variable fonts เพื่อลดจำนวนไฟล์
- ปรับคอนทราสต์ให้ผ่าน WCAG (อย่างน้อย 4.5:1)
การปรับแต่งฟอนต์ให้เข้ากับเนื้อหา
ปรับขนาดและความหนาให้สอดคล้องกับบทบาทของข้อความ:
- เนื้อหา: Sarabun 16–18px, line-height 1.6
- หัวข้อ: Kanit 24px/700
ตัวอย่าง CSS ที่ใช้งานได้จริง:
css
font-size: clamp(16px,2.5vw,20px);
line-height: 1.6;
letter-spacing: 0.02em;
การใช้ฟอนต์เพื่อสร้างธีมและสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์
จับคู่ฟอนต์คู่เดียวเพื่อสร้างอัตลักษณ์ เช่น Sarabun (เนื้อหา) กับ Kanit หรือ Prompt (หัวข้อ) จำกัดพาเลตฟอนต์ 2 แบบและใช้สี/น้ำหนักเป็นตัวบ่งชี้ชั้นเชิง
ทดลอง A/B โดยเปลี่ยนหัวข้อเป็น Kanit 700 ขนาด 22–28px และ CTA เป็น Prompt 700 — โครงการบางรายการรายงานการเพิ่ม CTR ราว 5–12% หลังการปรับสไตล์
ใช้ CSS custom properties เพื่อสลับธีม:
:root {
--font-head: 'Kanit', sans-serif;
--font-body: 'Sarabun', sans-serif;
}
แนวโน้มฟอนต์ในอนาคตและการปรับตัว
ฟอนต์สมัยใหม่ที่น่าจับตามอง
Kanit, Prompt, Sarabun, Mitr และ Trirong ยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยม แต่เทรนด์คือการใช้ variable fonts เพื่อปรับน้ำหนักแบบไดนามิก ลดการโหลดหลายไฟล์
ตัวอย่าง: การใช้ Kanit Variable แทน Kanit 300/400/700 ช่วยลดขนาดรวมได้ประมาณ 30–50% ขณะที่ยังคงความสม่ำเสมอทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ
การปรับฟอนต์ให้เข้ากับอุปกรณ์และแพลตฟอร์มที่หลากหลาย
เวลารับทำเว็บไซต์ ควรใช้ font stacks พร้อม fallback:
css
font-family: "Sarabun","Kanit", system-ui, sans-serif;
รวมทั้งใช้ font-display: swap
และ preload สำหรับฟอนต์หลัก เพื่อลด CLS และปรับขนาดด้วย CSS responsive:
css
font-size: clamp(16px,1.6vw,20px)
เพื่อให้ตัวอักษรอ่านได้ทั้งบนจอมือถือ 360px และหน้าจอเดสก์ท็อป 1440px
ทดสอบการเรนเดอร์ บน iOS/Android/Windows เพราะการแสดงผล antialiasing ต่างกัน ควรใช้ subset=thai
เมื่อเรียก Google Fonts เพื่อลดขนาดไฟล์
ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงในการเลือกฟอนต์
หลีกเลี่ยงการโหลดฟอนต์มากเกินไป
เวลารับทำเว็บไซต์ ควรจำกัดที่ 2–3 ครอบครัวฟอนต์เพื่อประสิทธิภาพและความสม่ำเสมอ อย่าใช้ฟอนต์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกันจนสับสน
ตั้ง fallback stack และใช้ font-display: swap
หรือ preload กับ Google Fonts เพื่อลด CLS กำหนดขนาดตัวอักษรพื้นฐานอย่างน้อย 16px และ line-height 1.4–1.6
ฟอนต์ที่ซ้ำซ้อนและมีลักษณะใกล้เคียงกัน
การโหลดครอบครัวฟอนต์หลายแบบที่หน้าตาใกล้เคียงกันทำให้ไฟล์ใหญ่และไม่เพิ่มคุณค่าให้การออกแบบ
ตัวอย่าง: การใช้ Prompt, Poppins (หรือฟอนต์ไทยหลายครอบครัวที่มีรูปลักษณ์คล้ายกัน) ควรเลือก Sarabun เป็นตัวอ่านหลักแล้วเพิ่ม Kanit หรือ Mitr สำหรับหัวเรื่องแทน
การใช้ฟอนต์ที่ไม่เหมาะสมกับประเภทของเว็บไซต์
ฟอนต์ลายมือหรือฟอนต์แสดงผลจัดวางบนหน้าเว็บธนาคารหรือเว็บข่าวจะลดความน่าเชื่อถือและการอ่าน
เช่น การใช้ Sriracha บนหน้าเช็คเอาต์ หรือ Monospace ทั้งเว็บไซต์สำหรับบทความยาว — เลือก Sarabun/Trirong สำหรับเนื้อหาและ Kanit/Prompt สำหรับหัวข้อ
ทดสอบแบบ A/B บนอุปกรณ์จริงเพื่อดูผลต่ออัตราการอ่านและการแปลงข้อมูล ตรวจสอบเวลาตอบสนองจาก Google Fonts (ควร preload ไฟล์ critical และรวม fallback)
แหล่งฟอนต์ที่เชื่อถือได้
เว็บไซต์ที่มีฟอนต์คุณภาพ
เริ่มจาก Google Fonts ซึ่งมีฟอนต์ไทยที่นิยมเช่น Sarabun, Prompt, Kanit, Mitr, Trirong และ Noto Sans Thai พร้อม CDN ที่ใช้งานง่าย
สำหรับงานระดับโปร พิจารณา Adobe Fonts (รวมใน Creative Cloud) หรือซื้อจาก foundry ไทยเพื่อการสนับสนุนตัวอักษรและไลเซนส์ที่ชัดเจน
การเลือกฟอนต์ฟรีและค่าลิขสิทธิ์ที่เหมาะสม
ตรวจสอบใบอนุญาตก่อนใช้: ฟอนต์ใน Google Fonts ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ SIL OFL หรือ Apache 2.0 ใช้ฟรีเชิงพาณิชย์ ขณะที่ฟอนต์พรีเมียมอาจมีค่าไลเซนส์ตั้งแต่ประมาณ $20–$200
ดู coverage ของฟอนต์ว่ารองรับสระ วรรณยุกต์ และสัญลักษณ์ไทยครบถ้วน ทดสอบเรนเดอร์บนเบราว์เซอร์จริง และลดขนาดโหลดด้วยการเลือกเฉพาะน้ำหนักที่ใช้
FAQ
Q: จะเลือกฟอนต์ไทยที่เหมาะสมสำหรับเว็บไซต์อย่างไร?
A: เลือกฟอนต์ไทยโดยคำนึงถึง:
- ความอ่านง่าย – ขนาด x‑height, ระยะระหว่างตัวอักษร และน้ำหนักที่รองรับทั้งขนาดเล็กและใหญ่
- น้ำเสียงของเว็บ – ฟอนต์แบบ sans-serif ให้ความทันสมัยและชัดเจน เหมาะกับ UI/บทความสั้น ส่วน serif เหมาะกับงานอ่านยาว
- การรองรับภาษาต่าง ๆ – ตรวจว่าฟอนต์มี glyph สำหรับภาษาไทยและสัญลักษณ์ที่ต้องใช้
- ประสิทธิภาพ – จำนวนน้ำหนักและขนาดไฟล์ยิ่งน้อยยิ่งโหลดเร็ว
- ใบอนุญาต – ตรวจสอบว่าอนุญาตให้ใช้เชิงพาณิชย์/บนเว็บได้หรือไม่
ตัวอย่างฟอนต์ยอดนิยม: Sarabun, Noto Sans Thai, Prompt, Kanit, Mitr, Trirong
Q: จะเพิ่มฟอนต์จาก Google Fonts ลงในเว็บไซต์อย่างไร?
A: ขั้นตอนพื้นฐาน:
- โหลดฟอนต์จาก Google Fonts โดยใช้
<link>
หรือ@import
- ตั้งค่า CSS:
body { font-family: 'Sarabun', 'Noto Sans Thai', sans-serif; }
- ปรับการโหลดเพื่อประสิทธิภาพ: ใช้
rel="preconnect"
กับ fonts.gstatic.com - กำหนด fallback fonts เป็นกลุ่มและทดสอบ FOUT/FOIT บนอุปกรณ์จริง
Q: ฟอนต์ไหนเหมาะกับงานประเภทต่าง ๆ บนเว็บไซต์?
A: แนะนำตามงาน:
- เนื้อหายาว/บทความ – Sarabun หรือ Noto Sans Thai
- หัวเรื่อง/โลโก้ – Kanit หรือ Prompt (น้ำหนักหนา มีบุคลิกเด่น)
- UI/เมนู/ปุ่ม – Prompt, Bai Jamjuree หรือ Mitr
- งานสไตล์นิตยสาร – Trirong (serif) สำหรับความเป็นทางการ
- ผสมฟอนต์ – ใช้คู่ serif+sans เช่น Trirong กับ Kanit
เวลารับทำเว็บไซต์ ระวังไม่ใช้ฟอนต์หลากหลายเกินไป (2–3 แบบพอ) และตรวจสอบการจับคู่ของน้ำหนัก/ขนาดให้สอดคล้องกัน