เว็บไซต์ WordPress ช้าแก้ด้วย 4 วิธีนี้

เว็บไซต์ WordPress ช้าต้องแก้ปัญหายังไง

เว็บไซต์ WordPress ช้าต้องแก้ปัญหายังไง? หากคุณกำลังรู้สึกหงุดหงิดเพราะเว็บไซต์โหลดช้าและเสียโอกาสจากผู้เข้าชม บทความนี้จะแนะนำเทคนิคเด็ดและคำแนะนำในการเพิ่มความเร็วเว็บไซต์และลดปัญหาการโหลดหน้าเว็บ ด้วยวิธีที่เข้าใจง่ายและได้ผลจริง มาดูวิธีการกันเลย

TL;DR

  • ปลั๊กอินเยอะเกินไป
  • โฮสติ้งไม่มีประสิทธิภาพ แล้วเลือกยังไง ?
  • ไม่มีระบบแคช / บีบอัดไฟล์
  • ธีมซับซ้อน
  • รูปภาพใหญ่

วิเคราะห์ปัญหาความช้าในเว็บไซต์ WordPress

เว็บไซต์ WordPress ที่โหลดช้ามักเกิดจากหลายสาเหตุที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสบการณ์ผู้ใช้และอัตราการตีกลับ การวิเคราะห์หาต้นตอของความล่าช้าจึงเป็นขั้นตอนสำคัญอันดับแรก เครื่องมือทดสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์อย่าง Google PageSpeed Insights หรือ GTmetrix ช่วยคุณได้มาก ทำไมเว็บของคุณถึงช้า? คำตอบอาจอยู่ในรายงานการวิเคราะห์เหล่านี้

อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักที่พบบ่อยในการใช้งาน WordPress คือการใช้ปลั๊กอินมากเกินไป โดยเฉพาะปลั๊กอินที่หนักและไม่ได้รับการอัปเดตสม่ำเสมอ สถิติจาก WP Engine พบว่า 40% ของเว็บไซต์ที่มีปัญหาความเร็วมีการติดตั้งปลั๊กอินมากกว่า 20 ตัว นอกจากนี้ โฮสติ้งที่ไม่มีประสิทธิภาพก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญ

ในทางกลับกัน การไม่ใช้ระบบแคชและการบีบอัดไฟล์ก็เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไป ธีมที่มีโค้ดซับซ้อนหรือรูปภาพที่มีขนาดใหญ่เกินความจำเป็นก็ส่งผลต่อความเร็วเช่นกัน เมื่อเราวิเคราะห์ประสิทธิภาพเว็บไซต์อย่างละเอียดแล้วจึงจะสามารถวางแผนการแก้ไขได้อย่างตรงจุด เว็บไซต์ที่เร็วยังช่วยเพิ่มอันดับใน Google อีกด้วยนะ

วิธีตรวจสอบและวัดความเร็วการโหลดเว็บไซต์

วิธีเช็คความเร็วเว็บไซต์

ใช้เครื่องมือวัดความเร็ว

  • Google PageSpeed Insights – ให้คะแนนทั้งเวอร์ชันมือถือและเดสก์ท็อป พร้อมทั้งเสนอคำแนะนำในการปรับปรุง
  • GTmetrix – แสดงคะแนนและรายละเอียดด้านต่างๆ เช่น เวลาในการตอบสนองเซิร์ฟเวอร์ และขนาดหน้าเว็บ
  • WebPageTest – ให้ผลลัพธ์ละเอียด เช่น เวลาโหลดเนื้อหาส่วนแรก (First Contentful Paint) และเวลาการโต้ตอบเต็มที่ (Time to Interactive)

วิเคราะห์ผลจากเครื่องมือ

หลังจากได้รับคะแนนหรือรายงานจากเครื่องมือวัดความเร็ว ควรให้ความสำคัญกับเกณฑ์ต่างๆ เช่น:

First Contentful Paint (FCP):

คือเวลาที่ระบบแสดงผลเนื้อหาภาพหรือข้อความแรกบนหน้าเว็บ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าผู้ใช้เริ่มเห็นข้อมูลที่สำคัญแล้ว

Largest Contentful Paint (LCP):

คือตัวชี้วัดที่วัดเวลาที่ใช้ในการแสดงผลเนื้อหาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนหน้าเว็บ เช่น ภาพใหญ่หรือข้อความที่เด่น ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับประสบการณ์ของผู้ใช้

Cumulative Layout Shift (CLS):

คือการวัดการเปลี่ยนแปลงของเลย์เอาต์ขององค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บในระหว่างการโหลด ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อความสะดวกของผู้ใช้ในการอ่านหรือคลิกเนื้อหาที่ต้องการ

Time to Interactive (TTI):

คือ ระยะเวลาที่ใช้ในการโหลดและเตรียมให้เว็บแอปพลิเคชันสามารถตอบสนองต่อการกระทำของผู้ใช้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยทั่วไปจะวัดตั้งแต่เริ่มโหลดหน้าเว็บจนถึงจุดที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ TTI เป็นหนึ่งในเมตริกที่สำคัญในการวัดประสิทธิภาพของเว็บเพจ และมีบทบาทสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ

ปัจจัยด้านการโฮสต์และเซิร์ฟเวอร์

หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือด้านการโฮสต์และเซิร์ฟเวอร์ ที่สามารถส่งผลกระทบต่อความเร็วของเว็บไซต์ได้ ดังนี้:

– ประเภทของโฮสต์: การเลือกประเภทของโฮสต์ (Shared, VPS, Dedicated) มีความสำคัญ เนื่องจากโฮสต์แบบแชร์อาจมีการแบ่งทรัพยากรกับเว็บไซต์อื่นๆ ทำให้โหลดช้า
– คุณภาพของเซิร์ฟเวอร์: เซิร์ฟเวอร์ที่มีคุณภาพต่ำหรือมีการตั้งค่าที่ไม่เหมาะสม อาจส่งผลให้การตอบสนองช้า
– สถานที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์: หนึ่งในปัจจัยที่เสริมประสิทธิภาพคือการเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ใกล้กับผู้เข้าชมเว็บไซต์

การใส่ใจกับปัจจัยด้านการโฮสต์และเซิร์ฟเวอร์นั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาเว็บไซต์ WordPress ที่ช้าให้กลับมาใช้งานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น. อ่านวิธีการเลือก Hosting เพิ่มเติม

การปรับแต่งและ Optimize Code

วิธีการ Optimize code เพื่อเพิ่มความเร็วเว็บไซต์

ในการปรับแต่งและ Optimize Code ของเว็บไซต์ WordPress ที่ช้า มีขั้นตอนที่สามารถช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้:

– การรวมไฟล์ CSS และ JavaScript: ลดจำนวนไฟล์ที่ต้องโหลดโดยการรวมหลายไฟล์เข้าด้วยกัน เพื่อลดการ Request ไปยังเซิร์ฟเวอร์
– การใช้ประโยชน์จาก Cache: ติดตั้งปลั๊กอิน caching ที่จะช่วยเก็บข้อมูลในรูปแบบที่สามารถโหลดได้เร็วขึ้น เช่น WP Super Cache หรือ W3 Total Cache
– การลดขนาดภาพ: ใช้เครื่องมือเพื่อบีบอัดรูปภาพให้มีขนาดเล็กลง เพื่อไม่ให้เว็บไซต์ช้าลงจากการโหลดไฟล์ภาพขนาดใหญ่
– การลบปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น: ตรวจสอบและลบปลั๊กอินที่ไม่ใช้งานหรือไม่จำเป็น เพื่อปรับปรุงความรวดเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์
– การตรวจสอบโค้ด: ตรวจสอบและปรับปรุงโค้ด PHP, HTML และ CSS เพื่อลดความซับซ้อนและเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล

การทำตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยทำให้เว็บไซต์ WordPress ของคุณทำงานได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม

การตรวจสอบและบำรุงรักษาเว็บไซต์

การตรวจสอบและบำรุงรักษาเว็บไซต์ WordPress เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาเว็บไซต์ช้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีขั้นตอนและวิธีการที่จำเป็นต้องพิจารณาดังนี้:

 การตรวจสอบความเร็วของเว็บไซต์

– ข้อดี: ช่วยให้ทราบถึงเวลาในการโหลดหน้าเว็บและสามารถระบุจุดที่ทำให้เว็บไซต์ช้าได้
– ข้อเสีย: คุณอาจต้องใช้เครื่องมือเฉพาะในการวิเคราะห์ เพื่อติดตามผล แทนการใช้ Google page speed ทุกสัปดาห์

การอัปเดตปลั๊กอินและธีม

– ข้อดี: ปลั๊กอินและธีมที่อัปเดตมักมีการปรับปรุงประสิทธิภาพ และป้องกันการถูกแฮ็กอยู่เสมอ
– ข้อเสีย: การอัปเดตอาจทำให้เกิดความไม่เข้ากันกับฟีเจอร์อื่น ๆ และอาจจะทำให้เว็บไซต์ทำงานผิดพลาดหากไม่ตรวจสอบให้ดี

การบำรุงรักษาเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เว็บไซต์ WordPress ของคุณทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่เพียงแต่เพื่อประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้ แต่ยังช่วยในการจัดอันดับ SEO ที่สูงขึ้นอีกด้วย

สรุป: เว็บไซต์ WordPress ช้าแก้ปัญหายังไง?

การแก้ปัญหาเว็บไซต์ WordPress ที่ทำงานช้าจำเป็นต้องเริ่มจากการวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริงก่อน โดยใช้เครื่องมืออย่าง Google PageSpeed Insights หรือ GTmetrix เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพ ปัญหาหลักที่พบบ่อยคือการใช้ปลั๊กอินมากเกินไป โดยเฉพาะปลั๊กอินที่ไม่มีการอัปเดตสม่ำเสมอ รวมถึงการเลือกใช้โฮสติ้งที่ไม่มีประสิทธิภาพ

หากคุณกำลังประสบปัญหาเว็บไซต์ WordPress ที่ทำงานช้า อย่าปล่อยให้ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณอีกเลย! ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมช่วยเหลือคุณในการแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ WordPress ของคุณให้ทำงานได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น – ให้เราช่วยคุณปรับแต่งเว็บไซต์ WordPress ให้เร็วขึ้นติดต่อด่วน! 

LINE: @nextstead
Facebook: NEXTSTEAD

Scroll to Top